-
0Shares
อัพเดทล่าสุด 15/12/2019

ใครที่มาสกอตแลนด์ครั้งแรก แล้วไม่ได้มาเที่ยว เอดินบะระ (Edinburgh) ล่ะก็ คือพลาดสุด เพราะนอกจากเมืองเค้าจะเป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ที่มีอายุเป็นพันปี ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางแล้ว เอดินบะระ (Edinburgh) ยังมีที่เที่ยวเยอะม๊าก โดยมาครบทั้งตัวเมืองที่โคตรคลาสสิคและสวยงาม แถมยังภูเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองให้เราได้ปีนขึ้นไปเพื่อชมวิวเมืองแบบฟินๆ อีกด้วย ดีย์ขนาดนี้แล้วก็ต้องห้ามพลาดแล้ววว
เอดินเบิร์ก หรือ เอดินบะระ? หลายคนอาจจะงงว่า เมืองเค้าไม่ได้อ่านว่า ‘เอดินเบิร์ก’ หรอ? คำตอบคือ ไม่ใช่เว้ยยย มันอ่าน ‘เอดินบะระ’หลายคนที่ไม่คุ้นเคย อ่านผิดกันเยอะมาก (ตัวก๊อตเองตอนแรกก็อ่านผิดเหมือนกัน 555555) เอาเป็นว่า ใครที่ยังชินกับเอดินเบิร์กอยู่ล่ะก็ ให้แก้การเรียกชื่อให้ถูกหน่อย เพราะถ้าเราไปเที่ยวอยู่นู้น เผื่อถามทางคนนู้นคนนี้ เค้าอาจจะงงและไม่เข้าใจได้เด้อ ด้วยความเป็นห่วง
รีวิว เที่ยวอังกฤษ + แพลนเที่ยวอังกฤษ
สำหรับการไปเที่ยวอังกฤษรอบนี้ ถือเป็นการเที่ยวอังกฤษรอบที่สองหลังจากรอบแรก ภายในหนึ่งเดือนแค่นั้นเอง คือจะเรียกบ้าก็ว่าบ้า เพราะครั้งแรกไปแล้วรู้สึกยังไม่เต็มอิ่ม แถมไปแค่ลอนดอนที่เดียว มารอบสองรอบนี้เลยจัดเต็มชุดใหญ่เลยจ้าแม่ ใช้เวลาทั้งหมด 11 วัน 10 คืน โดยเราจะบินไป-กลับไทย จากลอนดอน และไปเที่ยวยังเมืองต่างๆ ตั้งแต่ ยอร์ค (York) เอดินบะระ (Edinburgh) อินเวอร์เนสส์ (Inverness) เกาะสกาย (Isle of Skye) บาธ (Bath) และจัดเต็มก่อนกลับไทยที่ ลอนดอน (London) นั่นเอง ใครที่อยากตามรอยอะไรแบบนี้ ดูแพลนแบบละเอียดด้านล่างเลยจ้า ทำมาเป็นตารางให้แล้วจ้าา
รีวิวประเทศอังกฤษ ทั้งหมดของ Hashcorner
1. รีวิว ยอร์ค (York) คลิก
2. รีวิว เอดินบะระ (Edinburgh) คลิก
3. รีวิว อินเวอร์เนสส์ (Inverness) คลิก
4. รีวิว เกาะสกาย (Isle of Skye) คลิก
5. รีวิว บาธ (Bath) คลิก
6. รีวิว ลอนดอน (London) #1 คลิก
7. รีวิว ลอนดอน (London) #2 คลิก
มาเอดินบะระ (Edinburgh) ด้วยรถไฟ
วิธีการมาเที่ยว เอดินบะระ (Edinburgh) นั้น วิธีที่สะดวกที่สะดวกที่สุดนั่นคือการนั่งรถไฟมาเหมือนเดิมนั่นเอง ไม่ว่าเราจะมาจาก ถ้าเรามาจากยอร์ค (York) เราจะนั่งรถไฟประมาณ 2.30 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าเรานั่งรถไฟตรงมาจาจาก ลอนดอน เอดินบะระ เลย จะใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งส่วนตัวก๊อตเองแนะนำว่านั่งรถไฟดีกว่าขับรถเองนะ เพราะถ้าขับรถเองคือโคตรเหนื่อย เพราะมันไกลม๊าก แต่ถ้าเรามากันเยอะอย่าง 4 คน ขึ้นไป แล้วสลับกันขับ การขับรถมาเอดินบะระเองอาจจะน่าสนใจ เพราะมีคนช่วยขับ และยังมีตัวหารค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน ทีนี้ จะเลือกแบบไหน ต้องลองคำนวณค่าใช้จ่ายเอาเด้อ
Single Ticket / Return Ticket
สำหรับใครที่ไม่ได้มีพาสรถไฟ BritRail ที่เดินทางไม่จำกัดล่ะก็ นี่แนะนำให้เราจองตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะบางเส้นทางยอดฮิตอย่างเช่น ลอนดอน-เอดิบะระ (London-Edinburgh) รถไฟบางรอบที่เป็นช่วงพีคนี่แทบจะเต็มเกือบทุกตู้รถนะเออ ดังนั้น จองตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้าเถอะ จะได้อุ่นใจและได้เดินทางตามที่แพลนไว้นั่นเอง
???????? ส่วนเว็บไซต์ที่ก๊อตแนะนำสำหรับการจองตั๋วรถไฟในอังกฤษ คงเป็น Trip.com เพราะว่ามี Support ภาษาไทย เผื่อมีปัญหาบลาๆ เรายังสามารถโทรคุยภาษาไทยได้สะดวกงี้ และเท่าที่ลองจิ้มๆกดๆมา (ยังไม่ได้ลองซื้อจริง ใช้จริงนะ เพราะส่วนตัวใช้ BritRail) คือเค้าไม่มีค่าธรรมเนียมการจอง แถมเที่ยวรถไฟบางรอบยังถูกกว่าเว็บอื่นๆด้วยนะเออ เห็นแบบนี้แล้วต้องลอง เมื่อจองที่เว็บแล้ว ต้องไปเอาตั๋วที่สถานีโดยไปรับตั๋วที่ตู้ออกตั๋วอัตโนมัตินะจ้าา เข้าซื้อตั๋วรถไฟที่อังกฤษที่ Trip.com คลิกที่นี่เลย
นั่งรถไฟหลายเมือง ก็ใช้ BritRail Pass ไปเลย
ถ้าใครเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟเยอะและหลายครั้งล่ะก็ นี่จะแนะนำให้เราซื้อ Britrail Pass ไว้แทนการซื้อตั๋วทีละรอบ ซึ่งถ้าใครที่คุ้นชินกับการใช้ JR Pass ที่ญี่ปุ่น มันคือรูปแบบเดียวกันเล้ย คือเราจะนั่งรถไฟระหว่างเมืองได้ไม่จำกัดตามจำนวนวันที่เราซื้อไว้ โดยมีให้ซื้อตั้งแต่ 2, 3, 4, 8, 15, 22 และ 30 วันแบบติดต่อกัน หรือแบบ Flexi ที่เลือกวันเดินทางได้ภายใน 1 เดือน นอกจากจำนวนวันแล้ว เค้ายังมีให้เราเลือกคลาสที่นั่งอีกทั้งแบบ Standard Class และ First Class อีกด้วย ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความสะดวกและกำลังเงินของแต่ละคนเล้ย
สุดท้ายที่สำคัญสุดๆ BritRail ยังแบ่งเป็นพาสย่อยสำหรับการขึ้นรถไฟตามภูมิภาคต่างๆ และยังมีแบบที่ใช้รถไฟได้ทั้งประเทศอีก (เหมือน JR Pass เป๊ะ) โดยเค้าจะแบ่งตามนี้ คือ BritRail Pass, BritRail England Pass, BritRail London Plus Pass, BritRail Spirit of Scotland, BritRail Central Scotland Pass, BritRail Scottish Highlands Pass, BritRail South West Pass บอกตามตรงว่า อันนี้เราต้องดูแพลนตัวเองว่าไปไหนบ้างในอังกฤษ ทีนี้เราจะรู้เองว่าเราควรซื้อแบบไหน และจำนวนกี่วันนั่นเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บ BritRail ได้ ที่นี่
???????? ส่วนสถานที่ซื้อ BritRail Pass นั้น ก๊อตยังคงแนะนำให้ซื้อที่ KLOOK เพราะราคาที่ถูกกว่าเว็บอื่นๆ มีตัวเลือก BritRail ที่ครบทุกแบบ แถมยังมีส่วนลดโปรโมชั่นประจำเดือนที่ KLOOK เค้ามีตลอดเวลานั่นเอง ดูพาส BritRail ทั้งหมดใน KLOOK คลิกที่นี่ // ดูส่วนลด KLOOK ประจำเดือน คลิกที่นี่
สำหรับสิ่งที่ควรรู้ไว้สำหรับการซื้อ BritRail คือ
1. ควรซื้อ BritRail Pass ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางไปอังกฤษ เอาแบบเซฟๆ ปลอดภัย แนะนำให้ซื้อล่วงหน้าสองอาทิตย์ เพราะ KLOOK เค้าใช้เวลาส่งไปรษณีย์มาถึงบ้านเราประมาณ 7 วัน และเผื่อโชคร้าย เกิดดีเลย์ในการส่งนั่นเอง
2. เมื่อเราได้ BritRail Pass แล้ว เมื่อนำไปใช้ที่อังกฤษ เราต้อง Activate ตัวพาสก่อนใช้ครั้งแรก โดยไปสแตมป์ที่เคาท์เตอร์ออกตั๋ว หรือ เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่สถานีรถไฟนะเออ การสแตมป์นี้เสมือนเป็นการประทับตราแสดงว่าเริ่มใช้วันไหน
3. BritRail Pass ที่ครอบคลุมในส่วนของลอนดอน สามารถใช้ขึ้น Heathrow Express ได้นาจา
วันที่ 01 : ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle)
หลังจากออกจากรถไฟ + เอากระเป๋าสัมภาระไปฝากที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ที่เที่ยวแรกที่เราจะไปกันคือ ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ที่เป็นสถานที่สำคัญยืนหนึ่งสกอตแลนด์นั่นเอง โดยราคาค่าเข้าปราสาทนั้นแรงเอาเรื่องอยู่ สนนราคาอยู่ที่ 19.50 ปอนด์ (เกือบๆ พันบาท) แต่ถ้าใครจองออนไลน์ผ่าน Official Website ของเค้า ราคาจะลดมาอยู่ที่ 17.5o ปอนด์ ประหยัดไป 2 ปอนด์สวยๆ แต่ข้อเสียคือ เราต้องระบุวันและช่วงเวลาเข้าปราสาทล่วงหน้าไป ทีนี้ถ้าใครพลาดเวลาที่เราเลือกล่ะก็ เสียค่าตั๋วฟรีนาจา หลังจากที่ซื้อตั๋วแล้วก็เข้าไปยังตัวปราสาทได้เลย
ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ถือเป็นสถานที่สำคัญที่สุดและเป็นทำเลที่สุดยอดที่สุดของป้อมปราการในประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์เลยทีเดียว ซึ่งที่นี่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมามากกว่าหนึ่งพันปี เริ่มมาตั้งแต่ยุคกลางโดยเริ่มต้นจากการเป็นพระราชวังของคิงเดวิดที่ 1 (ปี ค.ศ. 1124) และเปลี่ยนถ่ายเป็นพระราชวังขององค์กษัตริย์ต่างๆ จนสุดท้ายได้ถูกเปลี่ยนเป็นป้อมปราการและฐานทัพทหารแทนในศตวรรษที่ 17 เพราะกษัตริย์ราชวงศ์สจวต (Stewart dynasty) ในสมัยนั้น ได้ย้ายพระราชวังไปอยู่ที่ พระราชวังโฮลีรูด (Holyrood Palace) สุดปลายถนนรอยัลไมล์ (Royal Mile) อีกฝั่งแทน


การเดินเที่ยวในตัวปราสาท นี่แนะนำให้หยิบแมพของปราสาทมาแล้วเดินเที่ยวเรียงตัวเลขของเค้าได้เลย ซึ่งก๊อตบอกก่อนว่า ตึกรามบ้านช่องด้านในปราสาทคือเยอะม๊าก โดยด้านในตัวตึกเค้าก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวต่างๆของสกอตแลนด์นั่นเอง อันนี้แล้วแต่ความสนใจของแต่ละคนจริงๆ ซึ่งถ้าใครไม่อิน นี่จะบอกอันที่เป็นไฮไลท์และห้ามพลาดของตัวปราสาทเอดินบะระให้เด้อ
The Half Moon Battery จะเป็นที่แรกที่เราสังเกตเห็นได้เลยเมื่อเราเดินเข้ามายังตัวปราสาท ซึ่งตรงนี้จะเป็นพื้นที่ครึ่งวงกลมที่เคยเป็นป้อมปืนใหญ่ตั้งเรียงรายที่ใช้ตั้งแต่ปี 1573-1588 ทีนี้มันจะมีปืนอยู่กระบอกหนึ่งที่เรียกว่า ‘One O’Clock Gun’ ที่เค้าจะมีโชว์ยิงปืนใหญ่ทุกวันตอนบ่ายโมงอีกด้วย (ยกเว้นวันอาทิตย์และคริสต์มาสเนอะ)
โบสถ์น้อย เซนต์มาร์กาเร็ต (St Margaret’s Chapel) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางด้านบนของปราสาทเอดินบะระ ที่มีดอกไม้สวยๆ คิวท์ๆ ตกแต่งโดยรอบนั้น โบสถ์น้อยแห่งนี้นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่รอดจากการโดยทำลายมาจนถึงปัจจุบัน และนี่ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เดียวเหลืออยู่ตั้งแต่มีปราสาทเอดินบะระขึ้นมา และยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์อีกด้วย // เท่ากับว่า โบสถ์น้อยนี้มีอายุเกือบๆ พันปีแล้วนะ
รีวิว เอดินบะระ (Edinburgh) x สกอตแลนด์ เที่ยวอังกฤษครบรส!
-
0Shares
อัพเดทล่าสุด 15/12/2019

ใครที่มาสกอตแลนด์ครั้งแรก แล้วไม่ได้มาเที่ยว เอดินบะระ (Edinburgh) ล่ะก็ คือพลาดสุด เพราะนอกจากเมืองเค้าจะเป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ที่มีอายุเป็นพันปี ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางแล้ว เอดินบะระ (Edinburgh) ยังมีที่เที่ยวเยอะม๊าก โดยมาครบทั้งตัวเมืองที่โคตรคลาสสิคและสวยงาม แถมยังภูเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองให้เราได้ปีนขึ้นไปเพื่อชมวิวเมืองแบบฟินๆ อีกด้วย ดีย์ขนาดนี้แล้วก็ต้องห้ามพลาดแล้ววว
เอดินเบิร์ก หรือ เอดินบะระ? หลายคนอาจจะงงว่า เมืองเค้าไม่ได้อ่านว่า ‘เอดินเบิร์ก’ หรอ? คำตอบคือ ไม่ใช่เว้ยยย มันอ่าน ‘เอดินบะระ’หลายคนที่ไม่คุ้นเคย อ่านผิดกันเยอะมาก (ตัวก๊อตเองตอนแรกก็อ่านผิดเหมือนกัน 555555) เอาเป็นว่า ใครที่ยังชินกับเอดินเบิร์กอยู่ล่ะก็ ให้แก้การเรียกชื่อให้ถูกหน่อย เพราะถ้าเราไปเที่ยวอยู่นู้น เผื่อถามทางคนนู้นคนนี้ เค้าอาจจะงงและไม่เข้าใจได้เด้อ ด้วยความเป็นห่วง
รีวิว เที่ยวอังกฤษ + แพลนเที่ยวอังกฤษ
สำหรับการไปเที่ยวอังกฤษรอบนี้ ถือเป็นการเที่ยวอังกฤษรอบที่สองหลังจากรอบแรก ภายในหนึ่งเดือนแค่นั้นเอง คือจะเรียกบ้าก็ว่าบ้า เพราะครั้งแรกไปแล้วรู้สึกยังไม่เต็มอิ่ม แถมไปแค่ลอนดอนที่เดียว มารอบสองรอบนี้เลยจัดเต็มชุดใหญ่เลยจ้าแม่ ใช้เวลาทั้งหมด 11 วัน 10 คืน โดยเราจะบินไป-กลับไทย จากลอนดอน และไปเที่ยวยังเมืองต่างๆ ตั้งแต่ ยอร์ค (York) เอดินบะระ (Edinburgh) อินเวอร์เนสส์ (Inverness) เกาะสกาย (Isle of Skye) บาธ (Bath) และจัดเต็มก่อนกลับไทยที่ ลอนดอน (London) นั่นเอง ใครที่อยากตามรอยอะไรแบบนี้ ดูแพลนแบบละเอียดด้านล่างเลยจ้า ทำมาเป็นตารางให้แล้วจ้าา
รีวิวประเทศอังกฤษ ทั้งหมดของ Hashcorner
1. รีวิว ยอร์ค (York) คลิก
2. รีวิว เอดินบะระ (Edinburgh) คลิก
3. รีวิว อินเวอร์เนสส์ (Inverness) คลิก
4. รีวิว เกาะสกาย (Isle of Skye) คลิก
5. รีวิว บาธ (Bath) คลิก
6. รีวิว ลอนดอน (London) #1 คลิก
7. รีวิว ลอนดอน (London) #2 คลิก
มาเอดินบะระ (Edinburgh) ด้วยรถไฟ
วิธีการมาเที่ยว เอดินบะระ (Edinburgh) นั้น วิธีที่สะดวกที่สะดวกที่สุดนั่นคือการนั่งรถไฟมาเหมือนเดิมนั่นเอง ไม่ว่าเราจะมาจาก ถ้าเรามาจากยอร์ค (York) เราจะนั่งรถไฟประมาณ 2.30 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าเรานั่งรถไฟตรงมาจาจาก ลอนดอน เอดินบะระ เลย จะใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งส่วนตัวก๊อตเองแนะนำว่านั่งรถไฟดีกว่าขับรถเองนะ เพราะถ้าขับรถเองคือโคตรเหนื่อย เพราะมันไกลม๊าก แต่ถ้าเรามากันเยอะอย่าง 4 คน ขึ้นไป แล้วสลับกันขับ การขับรถมาเอดินบะระเองอาจจะน่าสนใจ เพราะมีคนช่วยขับ และยังมีตัวหารค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน ทีนี้ จะเลือกแบบไหน ต้องลองคำนวณค่าใช้จ่ายเอาเด้อ
Single Ticket / Return Ticket
สำหรับใครที่ไม่ได้มีพาสรถไฟ BritRail ที่เดินทางไม่จำกัดล่ะก็ นี่แนะนำให้เราจองตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะบางเส้นทางยอดฮิตอย่างเช่น ลอนดอน-เอดิบะระ (London-Edinburgh) รถไฟบางรอบที่เป็นช่วงพีคนี่แทบจะเต็มเกือบทุกตู้รถนะเออ ดังนั้น จองตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้าเถอะ จะได้อุ่นใจและได้เดินทางตามที่แพลนไว้นั่นเอง
???????? ส่วนเว็บไซต์ที่ก๊อตแนะนำสำหรับการจองตั๋วรถไฟในอังกฤษ คงเป็น Trip.com เพราะว่ามี Support ภาษาไทย เผื่อมีปัญหาบลาๆ เรายังสามารถโทรคุยภาษาไทยได้สะดวกงี้ และเท่าที่ลองจิ้มๆกดๆมา (ยังไม่ได้ลองซื้อจริง ใช้จริงนะ เพราะส่วนตัวใช้ BritRail) คือเค้าไม่มีค่าธรรมเนียมการจอง แถมเที่ยวรถไฟบางรอบยังถูกกว่าเว็บอื่นๆด้วยนะเออ เห็นแบบนี้แล้วต้องลอง เมื่อจองที่เว็บแล้ว ต้องไปเอาตั๋วที่สถานีโดยไปรับตั๋วที่ตู้ออกตั๋วอัตโนมัตินะจ้าา เข้าซื้อตั๋วรถไฟที่อังกฤษที่ Trip.com คลิกที่นี่เลย
นั่งรถไฟหลายเมือง ก็ใช้ BritRail Pass ไปเลย
ถ้าใครเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟเยอะและหลายครั้งล่ะก็ นี่จะแนะนำให้เราซื้อ Britrail Pass ไว้แทนการซื้อตั๋วทีละรอบ ซึ่งถ้าใครที่คุ้นชินกับการใช้ JR Pass ที่ญี่ปุ่น มันคือรูปแบบเดียวกันเล้ย คือเราจะนั่งรถไฟระหว่างเมืองได้ไม่จำกัดตามจำนวนวันที่เราซื้อไว้ โดยมีให้ซื้อตั้งแต่ 2, 3, 4, 8, 15, 22 และ 30 วันแบบติดต่อกัน หรือแบบ Flexi ที่เลือกวันเดินทางได้ภายใน 1 เดือน นอกจากจำนวนวันแล้ว เค้ายังมีให้เราเลือกคลาสที่นั่งอีกทั้งแบบ Standard Class และ First Class อีกด้วย ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความสะดวกและกำลังเงินของแต่ละคนเล้ย
สุดท้ายที่สำคัญสุดๆ BritRail ยังแบ่งเป็นพาสย่อยสำหรับการขึ้นรถไฟตามภูมิภาคต่างๆ และยังมีแบบที่ใช้รถไฟได้ทั้งประเทศอีก (เหมือน JR Pass เป๊ะ) โดยเค้าจะแบ่งตามนี้ คือ BritRail Pass, BritRail England Pass, BritRail London Plus Pass, BritRail Spirit of Scotland, BritRail Central Scotland Pass, BritRail Scottish Highlands Pass, BritRail South West Pass บอกตามตรงว่า อันนี้เราต้องดูแพลนตัวเองว่าไปไหนบ้างในอังกฤษ ทีนี้เราจะรู้เองว่าเราควรซื้อแบบไหน และจำนวนกี่วันนั่นเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บ BritRail ได้ ที่นี่
???????? ส่วนสถานที่ซื้อ BritRail Pass นั้น ก๊อตยังคงแนะนำให้ซื้อที่ KLOOK เพราะราคาที่ถูกกว่าเว็บอื่นๆ มีตัวเลือก BritRail ที่ครบทุกแบบ แถมยังมีส่วนลดโปรโมชั่นประจำเดือนที่ KLOOK เค้ามีตลอดเวลานั่นเอง ดูพาส BritRail ทั้งหมดใน KLOOK คลิกที่นี่ // ดูส่วนลด KLOOK ประจำเดือน คลิกที่นี่
สำหรับสิ่งที่ควรรู้ไว้สำหรับการซื้อ BritRail คือ
1. ควรซื้อ BritRail Pass ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางไปอังกฤษ เอาแบบเซฟๆ ปลอดภัย แนะนำให้ซื้อล่วงหน้าสองอาทิตย์ เพราะ KLOOK เค้าใช้เวลาส่งไปรษณีย์มาถึงบ้านเราประมาณ 7 วัน และเผื่อโชคร้าย เกิดดีเลย์ในการส่งนั่นเอง
2. เมื่อเราได้ BritRail Pass แล้ว เมื่อนำไปใช้ที่อังกฤษ เราต้อง Activate ตัวพาสก่อนใช้ครั้งแรก โดยไปสแตมป์ที่เคาท์เตอร์ออกตั๋ว หรือ เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่สถานีรถไฟนะเออ การสแตมป์นี้เสมือนเป็นการประทับตราแสดงว่าเริ่มใช้วันไหน
3. BritRail Pass ที่ครอบคลุมในส่วนของลอนดอน สามารถใช้ขึ้น Heathrow Express ได้นาจา
วันที่ 01 : ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle)
หลังจากออกจากรถไฟ + เอากระเป๋าสัมภาระไปฝากที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ที่เที่ยวแรกที่เราจะไปกันคือ ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ที่เป็นสถานที่สำคัญยืนหนึ่งสกอตแลนด์นั่นเอง โดยราคาค่าเข้าปราสาทนั้นแรงเอาเรื่องอยู่ สนนราคาอยู่ที่ 19.50 ปอนด์ (เกือบๆ พันบาท) แต่ถ้าใครจองออนไลน์ผ่าน Official Website ของเค้า ราคาจะลดมาอยู่ที่ 17.5o ปอนด์ ประหยัดไป 2 ปอนด์สวยๆ แต่ข้อเสียคือ เราต้องระบุวันและช่วงเวลาเข้าปราสาทล่วงหน้าไป ทีนี้ถ้าใครพลาดเวลาที่เราเลือกล่ะก็ เสียค่าตั๋วฟรีนาจา หลังจากที่ซื้อตั๋วแล้วก็เข้าไปยังตัวปราสาทได้เลย
ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ถือเป็นสถานที่สำคัญที่สุดและเป็นทำเลที่สุดยอดที่สุดของป้อมปราการในประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์เลยทีเดียว ซึ่งที่นี่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมามากกว่าหนึ่งพันปี เริ่มมาตั้งแต่ยุคกลางโดยเริ่มต้นจากการเป็นพระราชวังของคิงเดวิดที่ 1 (ปี ค.ศ. 1124) และเปลี่ยนถ่ายเป็นพระราชวังขององค์กษัตริย์ต่างๆ จนสุดท้ายได้ถูกเปลี่ยนเป็นป้อมปราการและฐานทัพทหารแทนในศตวรรษที่ 17 เพราะกษัตริย์ราชวงศ์สจวต (Stewart dynasty) ในสมัยนั้น ได้ย้ายพระราชวังไปอยู่ที่ พระราชวังโฮลีรูด (Holyrood Palace) สุดปลายถนนรอยัลไมล์ (Royal Mile) อีกฝั่งแทน


การเดินเที่ยวในตัวปราสาท นี่แนะนำให้หยิบแมพของปราสาทมาแล้วเดินเที่ยวเรียงตัวเลขของเค้าได้เลย ซึ่งก๊อตบอกก่อนว่า ตึกรามบ้านช่องด้านในปราสาทคือเยอะม๊าก โดยด้านในตัวตึกเค้าก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวต่างๆของสกอตแลนด์นั่นเอง อันนี้แล้วแต่ความสนใจของแต่ละคนจริงๆ ซึ่งถ้าใครไม่อิน นี่จะบอกอันที่เป็นไฮไลท์และห้ามพลาดของตัวปราสาทเอดินบะระให้เด้อ
The Half Moon Battery จะเป็นที่แรกที่เราสังเกตเห็นได้เลยเมื่อเราเดินเข้ามายังตัวปราสาท ซึ่งตรงนี้จะเป็นพื้นที่ครึ่งวงกลมที่เคยเป็นป้อมปืนใหญ่ตั้งเรียงรายที่ใช้ตั้งแต่ปี 1573-1588 ทีนี้มันจะมีปืนอยู่กระบอกหนึ่งที่เรียกว่า ‘One O’Clock Gun’ ที่เค้าจะมีโชว์ยิงปืนใหญ่ทุกวันตอนบ่ายโมงอีกด้วย (ยกเว้นวันอาทิตย์และคริสต์มาสเนอะ)
โบสถ์น้อย เซนต์มาร์กาเร็ต (St Margaret’s Chapel) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางด้านบนของปราสาทเอดินบะระ ที่มีดอกไม้สวยๆ คิวท์ๆ ตกแต่งโดยรอบนั้น โบสถ์น้อยแห่งนี้นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่รอดจากการโดยทำลายมาจนถึงปัจจุบัน และนี่ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เดียวเหลืออยู่ตั้งแต่มีปราสาทเอดินบะระขึ้นมา และยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดของสกอตแลนด์อีกด้วย // เท่ากับว่า โบสถ์น้อยนี้มีอายุเกือบๆ พันปีแล้วนะ
ในโซนของ Crown Square ที่เป็นลานกว้างด้านหลัง เค้าจะมี Scottish National War Memorial ที่เป็นหอรำลึกของชาวสกอตแลนด์ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่เราสามารถเดินแวะเข้าไปด้านในรำลึกและชมสถาปัตยกรรมสวยได้ๆ // อ่านมา เค้าบอกว่าด้านในมีเครื่องหมายสวัสติกะตรงหน้าต่างแก้วด้วยนะ อันนี้คือพึ่งมารู้ตอนกลับมาแล้ว ใครที่ไปลองสังเกตเล่นๆดู 55555
สุดท้ายที่ห้ามพลาดโคตรๆเลย คือตึกฝั่งตรงข้ามที่มี Crown Room แอบอยู่ ซึ่งอันนี้ต้องสังเกตหน่อย มันจะมีทางขึ้นไปยัง Crown Room ที่เป็นห้องจัดแสดงโชว์มงกุฎและอัญมณีของสกอตแลนด์ ซึ่งอันนี้บอกเลยว่าต้องขึ้นมาดู เพราะของจริงคือสวยมากๆ และหาดูได้ที่นี่เท่านั้นด้วย (เสียดาย เค้าห้ามถ่ายรูป)
ทั้งหมดนี้คือไฮไลท์ของ ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) เลยแหละ จากตอนแรกที่คิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่ค่อยเยอะกับที่นี่ กลับกลายเป็นว่าใช้เวลาเที่ยวเยอะอยู่ ถ้าถามว่าคุ้มเงินมั้ย อันนี้แม่มตอบยากมากๆ เพราะมันเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ของสกอตแลนด์ ซึ่งถ้าใครอินและชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ก็น่าจะอินมาก แต่ถ้าใครเฉยๆ นี่ก็ยังแนะนำให้มานะ เพราะมันถือเป็นสถานที่ที่สำคัญมากที่สุดของสกอตแลนด์เลยทีเดียว 5555555
ถนนเมืองเก่า รอยัลไมล์ (Royal Mile – Edinburgh Old Town)
ออกจากปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) แล้ว เดินตรงมานิด เราจะเข้าสู่ถนนเก่าแก่ของเมืองเอดินบะระ นั่นคือ รอยัลไมล์ (Royal Mile) ซึ่งในสมัยก่อนของเมือง ถนนเส้นนี้ถือเป็นถนนหลักของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะต้นสายของถนนเส้นนี้คือ ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ส่วนสุดปลายถนนอีกด้าน คือ พระราชวังโฮลีรูด (Palace of Holyroodhouse) ทำให้รอยัลไมล์ถือเป็นถนนเส้นที่คิงและควีนใช้เดินทางบ่อยในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา แถมตลอดทางยังมีตึกและโบราณสถานสำคัญมากมายของเอดินบะระอีกด้วย เช่น วิหารเซนต์ไจลส์ (St. Giles Cathedral) ที่เดี๋ยวเราจะเดินไปนั่นเองงง
ใครที่จะซื้อของฟงของฝาก สามารถซื้อตรง รอยัลไมล์ (Royal Mile) นี้ได้เลยนะแจ๊ะ ร้านขายที่ระลึกคือโคตรเยอะ โดยเฉพาะผ้าแคชเมียร์ที่ขายกันเป็นแถบๆ ซึ่งสก๊อตแลนด์เค้าดังเรื่องผ้าแคชเมียร์มากนะขอบอก ส่วนใครที่ไม่ได้ซื้อของอะไร เราก็สามารถเดินชมวิวดูเมืองเก่าของเค้าได้ เมืองเค้าสวยจริง เดินยาวๆ ได้เลยครับผม




วิหารเซนต์ไจลส์ (St. Giles Cathedral)
หากเราเดินบนเส้นถนน รอยัลไมล์ (Royal Mile) จากปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) เดินมาอีกนิดทางด้านขวา เราจะเจอกับ วิหารเซนต์ไจลส์ (St. Giles Cathedral) อันใหญ่โต ซึ่งที่นี่เราสามารถเดินเข้าไปชมความสวยงาม และความอลังการของวิหารได้ฟรี แต่ถ้าใครใจบุญ อยากจะบริจาคเงินสมทบทุน เราสามารถทำได้เช่นกัน
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นวิหารที่ไม่ได้ใหญ่โตอลังการ แต่ความน่าสนใจของ วิหารเซนต์ไจลส์ (St. Giles Cathedral) นั้นมีความสำคัญเพราะที่นี่เป็นวิหารนี้เป็นศูนย์กลางของ การปฏิรูปความเชื่อ (Reformed Christianity) รวมถึงเป็นจุดกำเนิด คณะเพรสไบทีเรียน (Presbyterian) ในการปฏิรูปความเชื่อและการปกครอง จากคาทอลิกไปเป็นโปรเตสแตนต์ในสกอตแลนด์ นั่นเอง


อีกอย่างที่จะบอกคือ ด้านในคือสวยมากกกก โดยตัววิหารตอนนี้ที่ไปจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกที่เดินเข้าไปเหมือนถูกบูรณะให้ดูร่วมสมัย (Contemporary) มาก ส่วนอีกครึ่งนึงนั้น ยังคงอนุรักษณ์ความเก่าแก่และความปราณีตของงานไม้ + กระจกแก้วที่ควรค่าแก่การไปดูมากๆ เลยล่ะ