เปิดตำนาน ลึกลับ 10 ที่เที่ยวไทย กับ เรื่องเล่า จากรุ่นสู่รุ่น
เปิดตำนาน ลึกลับ 10 ที่เที่ยวไทย กับ เรื่องเล่า จากรุ่นสู่รุ่น
มีทัวร์มั้ยเปิดตำนาน ลึกลับ 10 ที่เที่ยวไทย กับ เรื่องเล่า จากรุ่นสู่รุ่น

คนไทยกับเรื่องตำนาน และวิถีชีวิตเป็นของคู่กัน จึงไม่แปลกใจว่าในบ้านเราตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มักจะมี ตำนาน เรื่องเล่าลึกลับ ที่สืบทอดต่อกันมาอย่างน่าสนใจ บางเรื่องได้ยินถึงกับขนลุก บางเรื่องก็เป็นเรื่องราวของความรัก ทำให้แต่ละสถานที่มีเรื่องเล่าขึ้นมา ใครที่อยากไปเห็นสถานที่จริงๆ พร้อมรู้เรื่องราวตำนาน ตามมีทัวร์มั้ยมา เปิดตำนาน ลึกลับ 10 ที่เที่ยวไทย เรื่องเล่า จากรุ่นสู่รุ่น

พระพุทธรูปพูดได้ วัดศรีชุม

ตำนานของวัดศรีชุม :

     เรื่องเล่าของวัดศรีชุมนี้ คือ พระพูดได้ พระในที่นี้ไม่ใช่พระสงฆ์แต่อย่างใด แต่เป็นพระพุทธอจนะ พระพุทธรูปของวัดนั่นเอง ที่มาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า

      เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกกองทัพไปปราบกฎที่เมืองสวรรคโลก ได้มีการมาชุมนุมที่วัดศรีชุมก่อน การรบในครั้งนี้เป็นการรบระหว่างคนไทยเราด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบ และไม่อยากรบ

      สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงได้มีการวางแผนสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับทหารเหล่านั้น โดยการให้ทหารนายหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังขององค์พระพุทธรูปและพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร และด้วยเหตุนี้เองค่ะที่ทำให้เกิดตำนาน “พระพุทธรูปพูดได้” นั่นเอง อีกทั้งวัดศรีชุมแห่งนี้ยังได้มีการจัดพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาอีกด้วย เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ และสำคัญมากๆ อีกแห่งของบ้านเรา

ผีจ้างหนัง ตำนานพญานาค คำชะโนด

ตำนานของคำชะโนด :

      ป่าคำชะโนดเชื่อกันว่า เป็นดินแดนลี้ลับของพญานาค และเป็นทางเชื่อมต่อเมืองบาดาล ปกครองรักษาโดยพญานาคราชปู่ศรีสุทโธ และองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี ภายหลัง พญานาคราชปู่ศรีสุทโธ ได้ทำสงครามกับ เจ้าพ่อสุวรรณนาค เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน จนพื้นโลกสะเทือนเดือดร้อนไป 3 ภพ จนรู้ถึงพระอินทร์

       พระอินทร์จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตรัสโองการให้นาคทั้งสองฝ่ายหยุดรบ และหันมาสร้างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโขง และ แม่น้ำน่าน ในปัจจุบัน โดยฝ่ายไหนสร้างแม่น้ำเสร็จก่อนจะให้ ปลาบึก ไปอยู่ในแม่น้ำสายน้ำสายนั้น

      และพญานาคราชปู่ศรีสุทโธ ก็ได้สร้างแม่น้ำเสร็จก่อน ปลาบึกจึงได้อยู่ที่แม่น้ำโขง และพญานาคราชปู่ศรีสุทโธ จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ทูลขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่ง ได้แก่ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก หรือคำชะโนด นั่นเอง ที่นี่จึงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านเล่าลือสืบเนื่องกันมา

      นอกจากนี้ยังมี ตำนานผีจ้างหนัง จนถูกนำมาดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์ โดยเริ่มจากมีบุคคลลึกลับได้ จ้างวานให้บริษัทหนังกลางแปลง ไปตั้งฉายหนังกลางทุ่งคำชะโนด ด้วยค่าจ้าง 4,000 บาท และจะต้องฉายให้เสร็จก่อนเวลาตี 4 และออกมาก่อนฟ้าสว่าง โดยห้ามหันหลังกลับไปมองด้านหลังเด็ดขาด

ตำนานความรัก ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน

ตำนานของถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน :

      เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา รักกับชายเลี้ยงม้าในวัง และทรงครรภ์ จึงหนีตามกันไปจนถึงที่ราบใกล้แม่น้ำโขง ขณะนั้นเจ้าหญิงก็ทรงครรภ์ได้หลายเดือนแล้วจึงเดินทางต่อไม่ไหว ชายหนุ่มจึงอาสาออกไปหาอาหารมาให้ แต่หายไปไม่กลับมาอีกเลย

      เจ้าหญิงโดนทหารของพระราชบิดา มาล้อมจับได้ และทราบข่าวว่าชายคนรักถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดาไปแล้วในป่า นางเสียใจมาก เลยเอาปิ่นปักผมแทงพระเศียรตนเอง จนเลือดไหลออกมาเป็นสาย กลายเป็น “แม่น้ำแม่สาย” ร่างที่นอนเหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็น “ดอยนางนอน” และตรงท้องที่นูนขึ้นมาก็เป็น “ดอยตุง” อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

ตำนานพระพุทธรูปเนื้อนิ่ม ประดุจมีชีวิต หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่

 

ตำนานของหลวงพ่อโต :

       ตามตำนานเล่าสืบกันมาว่า มีพระพุทธรูป 3 องค์ เป็นพี่น้องกัน ได้แสดงอภินิหารลอยตามน้ำมา ผ่านย่านชุมชนหลายแห่ง คนในท้องถิ่นจำนวนมากช่วยกันอัญเชิญขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สามารถอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนฝั่งได้
ภายหลังพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ได้แยกย้ายกันไปประดิษฐานในที่ต่างๆ องค์หนึ่งได้รับการอาราธนาขึ้นประดิษฐานที่ วัดบ้านแหลม หรือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นองค์พี่ อีกองค์หนึ่งถูกอาราธนาขึ้นประดิษฐานที่วัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นองค์กลาง

      สำหรับองค์หลวงพ่อโตนี้ ได้ลอยเข้ามาในคลองสำโรง ชาวบ้านได้อาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ไม่สำเร็จ จึงช่วยกันต่อแพชะลอไว้ แล้วอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านหยุดนิ่ง ชาวบ้านจึงอาราธนาขึ้น เป็นองค์น้อง

       ความน่าอัศจรรย์ใจได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 หลวงพ่อโต ได้แสดงปาฏิหาริย์ กล่าวคือ องค์พระซึ่งเป็นทองสำริดกลับนิ่มดั่งเช่นเนื้อคน ประดุจมีชีวิต จนหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพากันลงข่าวที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ และมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศพากันมาชมบารมี ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้ง

น้ำตาศักดิ์สิทธิ์ ตำนานพญานาค

 

ตำนานเขาหงอนนาค :


       ชาวบ้านเชื่อว่าพื้นที่ละแวกนี้เป็นที่ ของพญานาคตามตำนานเก่าแก่ที่เล่าสืบต่อกันมา โดยตำนานดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของชี่อสถานที่ต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพญานาค ทั้ง เขาหงอนนาค หนองทะเล และเขาแหลมหางนาค

       และที่นี่เองเป็นจุดจบของเรื่องราวความรักของพญานาค ที่ต้องหลั่งน้ำตาออกมา เกิดเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ชื่อว่า บ่อน้ำตานาค บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีใสตลอดทั้งปีอยู่บนเขาหงอนนาค โดยเชื่อว่าถ้าอธิษฐาน และเอาน้ำนั้นมาลูบหน้า จะสมปรารถนาและเป็นสิริมงคล

       และอีกสถานที่ ที่น่าสนใจ ได้แก่ สะดือนาค ซึ่งเป็นบ่อน้ำเล็กๆ และมีน้ำไหลตลอดปีเช่นเดียวกัน เชื่อกันว่าทั้งน้ำตานาค และสะดือนาคนั้น เป็นน้ำที่มาจากแหล่งเดียวกัน แต่สถานที่ของบ่อน้ำทั้ง 2 นั้นห่างกันมากโดยมีการเชื่อมต่อตามแนวภูเขาซึ่งเชื่อว่าเป็นลำตัวพญานาคที่ ทอดยาวออกไปจากหงอนนาคจนถึงสะดือนาคนั่นเอง

ตำนานพญาคันคาก พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก

 

ตำนานพญาคันคาก :

       ตำนานพญาคันคากเป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านของชาวอีสานมาอย่างยาวนาน โดยมีเรื่องว่า พญาแถน เทพเจ้าแห่งฝน โกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกยาวนานถึง 7 เดือน สร้างความเดือดร้อนให้ทั่วทุกสารทิศ ทั้งมนุษย์ และสัตว์ต่างพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก

       สรรพสัตว์ทั้งหลายที่รอดชีวิตต่างก็พากันมาชุมนุม และหาวิธีทางปราบพญาแถน โดยเริ่มจากการส่งพญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับมา พญาต่อแตนยกทัพไปปราบ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน จนท้อแท้ สิ้นหวังไปตามๆ กัน

      พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน และได้วางแผนในการรบ โดยให้ปลวกทั้งหลาย ก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้ทุกคนได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถนได้
มอด ได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่อง และตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย จนในที่สุด ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้ และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก โดยมีสัญญาดังนี้

1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์ (เป็นที่มาของการทำบั้งไฟ)
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว

หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้

ตำนานพญานาค บั้งไฟพญานาค

 

ตำนานบั้งไฟพญานาค :

      ความเชื่อของชาวอีสานนั้น เชื่อกันว่าในแม่น้ำโขงมี เทพเจ้าทางน้ำ เรียกว่า พญานาค อาศัยอยู่ เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้น มีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ไม่สามารถบวชได้เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ

      และในวันออกพรรษาของทุกปี เชื่อกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลับสู่โลกมนุษย์ เหล่าบรรดาพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำโขงต่างแสดงความยินดี ด้วยการจุดบั้งไฟเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นพุทธบูชา จึงปรากฏให้เห็นเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากผิวน้ำ และนี่เองคือที่มาของ “บั้งไฟพญานาค”

ตำนานยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์

ตำนานยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์ :

       หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียนกันอยู่แล้วว่า ที่ บริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น เป็นผลจากการต่อสู้ของ ยักษ์วัดแจ้ง กับ ยักษ์วัดโพธิ์ โดยมี ยักษ์วัดพระแก้ว เป็นผู้ห้ามทัพ

       โดยตำนานนั้นมีอยู่ว่า ยักษ์วัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้ง เป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทาง ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย ยักษ์วัดแจ้งจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืน แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้

      ในที่สุดยักษ์ทั้ง 2 ตน จึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมา และมีกำลังมหาศาล เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย

      ครั้นเมื่อพระอิศวร ได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน ทำให้บรรดามนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้งสองกลายเป็นหิน แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถของวัดโพธิ์ และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้

ตำนานเขาสามมุข ศาลเจ้าแม่สามมุข

 

ตำนานเขาสามมุข :

      มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีหญิงสาวสวยที่มีชื่อว่า สามมุข เป็นชาวเมืองบางปลาสร้อย และกำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เกิด หญิงสาวอาศัยอยู่กับยายที่กระท่อมแห่งหนึ่งบริเวณเชิงเขาสามมุข ต่อมาสาวมุขได้พบรักกับชายหนุ่มที่มีชื่อว่า แสน ผู้เป็นบุตรกำนันบ่าย เศรษฐีแห่งบ้านหิน (อ่างศิลา)

       ความรักของทั้งคู่เป็นความรักที่บริสุทธ์ ทั้งสองก็ต่างสัญญากันว่าจะรักกันไปชั่วนิจนิรันดร์ และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า "ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิจนิรันดร หากใครผิดต่อคำสาบานนี้ จะต้องมากระโดดหน้าผานี้ตายตามกัน" โดย แสน ได้มอบแหวนให้กับสามมุขเพื่อเป็นพยาน

      เมื่อกำนันบ่ายทราบเรื่องราวความรักของทั้งคู่ ก็เกิดความรังเกียจในความยากจนของสามมุข แสนได้พยายามขอร้องพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข แต่กำนันบ่ายก็กีดกันและกักบริเวณแสนไว้ และบังคับให้แสนแต่งงานกับลูกสาวคนทำโป๊ะ และกำหนดพิธีการแต่งงานขึ้น

       ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอ่างหิน (อ่างศิลา) จนสามมุขเองก็ได้รับรู้ถึงข่าวนี้ด้วย ในวันแต่งงานของแสนได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โตสมเกียรติ สามมุขได้เดินทางมารดน้ำสังข์ให้แก่คู่บ่าวสาว

        แสนรู้สึกว่ามีน้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ดีว่าแหวนวงนี้เขาเป็นคนมอบให้สามมุข แต่พอเงยหน้าขึ้นสามมุขก็ได้วิ่งจากออกไปแล้ว สามมุขก็วิ่งหนีหายไปบนเชิงเขาริมหน้าผา และจบชีวิตโดยการกระโดดหน้าผา เพื่อบูชาความรักอันแสนบริสุทธ์ครั้งนี้ แสนผู้ที่ให้คำสาบานไว้กับสามมุข เสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาจึงกระโดดลงหน้าผาตามสามมุขหญิงสาวสุดที่รักไป

       จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก จึงพากันสาปแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้นและตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า “เขาสามมุข” และชายหาดที่ติดกันว่า “หาดบางแสน” เพื่อเป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน

ตำนานพญากอบ ถ้ำเลเขากอบ

 

ตำนานพญากอบ :

      นานมาแล้ว มีเจ้าฟ้าองค์หนึ่งชื่อว่า พญากอบ เป็นบุตรท้าวภุชงค์ราชานาคราช ผู้มีบุญญาธิการและมีความเชี่ยวชาญในทุกๆ ด้าน จนพญานาคทั้งเมืองบาดาลต้องสยบ เพราtอำนาจบารมีของพญากอบมีรูปร่างที่ใหญ่มาก กายยาวประมาณ 1 โยขน์ มีเกล็ดขาวดังไข่มุก นัยน์ตาสุกแดง

      ครั้นเมื่อท่านโตขึ้นก็ได้เดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ตามประสาวัยรุ่น จนกระทั่งได้พบรักกับนางศรีขัน ทั้งสองจึงตกลงปลงใจอยู่ด้วยกัน ไม่นานนักนางศรีขันก็ตั้งครรภ์ พญากอบพยายามหาที่อยู่มีภูมิทัศน์งดงามและปลอดภัยให้กับนางศรีขันเพื่อรอคลอดบุตร และที่นั่นก็คือ "ถ้ำเลเขากอบ" ในปัจจุบัน

       โดยพญากอบได้ใช้อิทธิฤทธิ์ของตนเผาผลาญเจาะหินจนเป็นถ้ำที่มีน้ำไหลผ่าน ภายในถ้ำเต็มไปด้วยอัญมณีและมีสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่มากมายหลายชนิด รวมทั้งหินงอกหินย้อยงดงามเหมือนมีชีวิตเป็นรูปทรงต่างๆ สวยดังมรกตหยดน้ำ และเมื่อพญากอบหาที่พักให้กับนางศรีขันได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็สัญญาว่าจะรักกันตลอดไป

      แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อยักษ์หูแกง บิดานางศรีขันได้ตามหาจนพบ ขณะทั้งสองกำลังพลอดรักกันอยู่ในถ้ำยักษ์หูแกงไม่พอใจมากคิดจะฆ่าพญากอบซึ่งเป็นลูกเขย โดยใช้ไฟพ่นใส่ โชคดีที่พญากอบหลบหลีกได้ทัน ทำให้ลูกไฟที่พ่นออกมาไปถูกภูเขาจึงเกิดเป็น "เขาหัวแตก" ขึ้น

      ส่วนนางศรีขันตกใจกลัวในการต่อสู้ จึงหนีขึ้นไปอยู่บนหน้าผาเพื่อเฝ้ารอคอยผู้เป็นสามี จนได้ชื่อว่า “ผานางคอย” ทางด้านพญากอบต้องการที่จะแก้แค้นยักษ์หูแกง แต่พอรู้ว่าเป็นพ่อตาของตัวเองก็หนีไปไม่กล้าทำร้าย โดยพญากอบจะซ่อนตัวทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ยักษ์หูแกงตามหาใด หินพบ ไม่นานหลังจากนั้นนางศรีขันก็ได้คลอดบุตรออกมาเป็นงูจำนวนแปดหมื่นตัว หากเมื่อใดที่พ่อแม่ลูกได้มาพบหน้ากัน ถ้ำก็จะเรื่องรองไปด้วยแสงเพชรนิลจิดา และผู้คนบริวเณนั้นก็จะพบความสุขความเจริญ

 

ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่เที่ยว

https://www.facebook.com/metourmice

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก คุณเอิงเอย (Travel.trueid)