เมาท์ เดส อาร์ต (Mont des Arts) หรือเนินเขาแห่งศิลปะแห่งนี้ คือพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ของเมืองบรัสเซลส์ เพราะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ศูนย์การประชุมบรัสเซลส์ โรงภาพยนตร์เก่าแก่ของเมือง สวนสาธารณะ และยังเป็นจุดชมวิวเมืองบรัสเซลส์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง
ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 พระมหากษัตริย์เลออปอลที่ 2 (King Leopold 2) ต้องการเปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นย่านศิลปวัฒนธรรมประจำเมือง มีการเกณฑ์สถาปนิก และนักออกแบบผังเมืองมาวางแบบแปลนอาคารที่จะใช้เป็นพื้นที่ใช้งานของสถาบันต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสวนทางกับความตั้งใจของนายกเทศมนตรีเมืองบรัสเซลส์ ณ ตอนนั้น อย่าง ชาร์ล บูลส์ (Charles Buls) ที่มีความต้องการอนุรักษ์ย่านเก่าแก่ที่ชาวบรัสเซลส์อยู่อาศัยกันมานานแห่งนี้ให้อยู่ต่อไป นับเป็นวิสัยทัศน์ที่ต่างจากภาพฝันของกษัตริย์เบลเยียมที่มีต่อเมืองหลวงของพระองค์เป็นที่สุด แน่นอนว่าชาร์ล บูลส์ พ่ายแพ้อย่างราบคาบในการคานอำนาจครั้งนี้ และต้องลาออกจากตำแหน่งไป หลังการประชุมสภาเมืองลงคะแนนเสียงเทไปให้โครงการของพระมหากษัตริย์เลออปอลที่ 2 โดยเหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในความขัดแย้งอันมีสีสันของพระมหากษัตริย์เลออปอลที่ 2 กับขั้วอำนาจในประเทศ ซึ่งปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสถานที่สำคัญหลายแห่งของเมือง
โครงการได้รับการอนุมัติให้สร้างอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1894 และในช่วงปี 1897-1898 การรื้อถอนเขตชุมชนแห่งนี้ก็เริ่มต้นขึ้น มีการสร้างอาคารในสไตล์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยขึ้นมาแทนที่ แต่การก่อสร้างก็ดำเนินไปอย่างล่าช้า เพราะขาดเงินทุนอยู่เป็นระยะ จนมาถึงช่วงงานเวิลด์เอ็กซ์โปปี 1910 ว่าที่เนินเขาแห่งศิลปะของบรัสเซลส์ก็เริ่มมีชีวิต ชีวาขึ้นมาอีกครั้ง จากการที่พระมหากษัตริย์เลออปอลที่ 2 เล็งเห็นพื้นที่โล่งกว้าง ไม่ได้ใช้งานบริเวณกลางเนินเขา เลยรับสั่งให้ ภูมิสถาปนิกปิแอร์ วาเชอโช่ (Pierre Vachacho) ออกแบบสวนชั่วคราวสำหรับรองรับผู้คนที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วโลก แต่สวนสาธารณะที่ประดับด้วยอนุสาวรีย์ซึ่งมีบันได้ขนาบข้างสำหรับใช้สัญจรขึ้นไปยังพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการออกแบบงดงาม กลับกลายเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของภูมิสถาปนิกชาวฝรั่งเศสคนนี้ ไปโดยปริยาย
ต่อมาในปี 1930 เมื่อโครงการสำหรับการสร้างศูนย์กลางทางศิลปวัฒนธรรมของบรัสเซลส์กลับมารุดหน้าอีกครั้ง สวนสาธารณะแห่งนี้ก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงจากการต้องอยู่ท่ามกลางพื้นที่ก่อสร้างมานานปี จนล่วงมาถึงปี 1956 – 1958 โครงการฟื้นฟูเมืองครั้งใหญ่ที่ได้รับการดูแลโดย มอริซ ฮาวยุกซ์ (Maurice Houyoux) กับ จูเลส โกเบิร์ต (Jules Ghobert) สองสถาปนิกชาวเบลเยียม ซึ่งเป็นไม้สุดท้ายที่ผลักดันให้ เมาท์ เดส อาร์ต กลายเป็นแหล่งรวมตัวของสถาบันทางศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยของเมืองบรัสเซลส์ ตามเจตนารมณ์แรกเริ่มของ พระมหากษัตริย์เลออปอลที่ 2 ได้สำเร็จ ส่วนของสวนสาธารณะนั้นก็ได้รับการบูรณะโดยภูมิสถาปนิก เรอเน่ ปิแซร์ (Rene Pechere) ที่เปลี่ยนตัวสวนให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่ตีกรอบอยู่ในรูปทรงเรขาคณิต ที่ยังคงมีประติมากรรมแต่แรกเริ่มตั้งอยู่เหมือนเคย และยังคงความสวยงามมาจนทุกวันนี้
โดยปัจจุบัน เมาท์ เดส อาร์ต คือพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยที่โดดเด่นที่สุดของบรัสเซลส์ เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของเมือง ทำให้มีความโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจภายในบริเวณ เมาท์ เดส อาร์ต ก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น หอสมุดแห่งชาติของประเทศเบลเยียม (Bibliotheque Royale), หอจดหมายเหตุแห่งชาติของประเทศเบลเยียม (Generales du Royaume), ศูนย์การประชุมเมืองบรัสเซลส์ (Convention Center), เบลเยียมรอยัลฟิล์มอาร์ไคฟ์ (Cinematek), สวนสาธารณะเมาท์ เดส อาร์ต (Mont des Arts) และยังไม่นับรวมพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ฯลฯ ที่อยู่ในระยะเดินไปชมได้จากเนินเขาแห่งนี้อีกหลายแห่ง
อีกเหตุผลที่ทำให้เนินเขาแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว คือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับพื้นปกติของเมือง ทำให้ถูกใช้เป็นจุดชมทัศนียภาพเมืองบรัสเซลส์ที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมือง โดยจากที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเห็นแลนด์มาร์กชื่อดังต่างๆ ของเมืองมากมาย อาทิ ศาลาว่าการเมืองบรัสเซลส์ (Brussels Town Hall) หรืออาคารอะโตเมียม (Atomium Building) เป็นต้น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะต่อการมาเยี่ยมชม และใช้เวลาซึมซับไปกับบรรยากาศของความร่วมสมัยที่มีเสน่ห์มัดใจนักท่องเที่ยว ไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ในเมืองบรัสเซลส์แน่นอน แต่ไปคนเดียวก็กลัวจะเหงา ไปคนเดียวก็กลัวจะหลง หากยังไม่มีใครแวะมาคุยกับ #มีทัวร์มั้ย ได้น้า เรายินดีช่วยออกแบบโปรแกรมสุดโดนใจคุณ