มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา สถาปัตยกรรมที่อยู่คู่เมืองบรัสเซลส์
มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา สถาปัตยกรรมที่อยู่คู่เมืองบรัสเซลส์
ศาสนสถานหลักประจำนิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้ คือมหาวิหารในสถาปัตยกรรมกอธิคที่อยู่คู่กับเมืองบรัสเซลส์มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และบุคคลสำคัญของประเทศในหลากหลายวาระ ทั้งยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ฯลฯ ภายในมหาวิหารได้ด้วย

มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (St. Michael and St. Gudula Cathedral) ศาสนสถานหลักประจำนิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้ คือมหาวิหารในสถาปัตยกรรมกอธิคที่อยู่คู่กับเมืองบรัสเซลส์มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และบุคคลสำคัญของประเทศในหลากหลายวาระ ทั้งยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ฯลฯ ภายในมหาวิหารได้ด้วย

ประวัติ

มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (St. Michael and St. Gudula Cathedral) ต้นกำเนิดของมหาวิหารหลักแห่งเมืองบรัสเซลส์นี้ต้องย้อนกลับไปถึงช่วงศตวรรษที่ 9 แรกเริ่มเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับ อัครทูตสวรรค์มีคาเอล (Michael The Archangel) แต่มาในศตวรรษที่ 11 โบสถ์แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโบสถ์ตามสถาปัตยกรรมโรมัน (Architecture of ancient Rome) และในปี 1047 ก็มีการส่งพระธาตุเซนต์กูดูลา (Saint Gudula) ที่ตั้งอยู่ในโบสถ์เกเจอริคัส (St.Gaugericus) บนเกาะแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส มาไว้ยังมหาวิหาร และทำให้เซนต์กูดูลากลายเป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งเมืองบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้มหาวิหารประกอบไปด้วยชื่อนักบุญอุปถัมภ์ถึงสองคนด้วยกัน ต่อมาในศตวรรษที่ 13 เฮนรีที่ 1 (Henry I) ก็ได้ทำการปรับปรุงมหาวิหารครั้งใหญ่ โดยมีการเพิ่มหอคอยสมมาตรสองหลังขนาบไปกับซุ้มหลักของมหาวิหาร และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในอยู่ในรูปแบบโกธิค (Gothic Architecture) ซึ่งขั้นตอนการบูรณะในครั้งนี้กินระยะเวลาถึง 300 ปี ก่อนจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 1519 ล่วงมาในปี 1980 ก็มีการค้นพบซากโบสถ์ในสมัยศตวรรษที่ 11 ซึ่งอยู่บริเวณใต้มหาวิหาร และได้รับการอนุรักษ์มาจนถึงปัจจุบัน โดย มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา ถูกกำหนดให้เป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ในวันที่ 5 มีนาคม 1936 และได้รับการขึ้นสถานะให้เป็นมหาวิหารจากคริสตจักร ในปี 1962  

           โครงสร้างภายนอกของมหาวิหารถูกสร้างด้วยหินที่นำมาจากเหมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป 45 กิโลเมตร มีบันไดทางขึ้นโบสถ์ขนาดใหญ่ และหอคอยสมมาตรในสถาปัตยกรรมกอธิคที่ขนาบซุ้มประตูหลักขนาดใหญ่ โดยด้านบนจะมีหน้าต่างกระจกใบโตติดตั้งเอาไว้อย่างประณีต และหลายบานยังเป็นกระจกสีอันวิจิตรที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญทางศาสนาคริสต์ พื้นที่ส่วนกลางจะประดับด้วยเสาหินที่ติดประติมากรรมอัครสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู ยาวไปจนถึงแท่นประกอบพิธีหลัก และบนหอคอยด้านทิศใต้จะมีระฆังจำนวน 49 ใบ ที่รวมกันเป็น คาริล (Carillon) หรือเครื่องดนตรีประจำโบสถ์ ซึ่งจะมีการบรรเลงเพลงอันไพเราะให้ผู้คนในละแวกได้รับฟังกันเป็นประจำ นอกจากนั้น ภายในมหาวิหารยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดเก็บประติมากรรม ภาพเขียน ฯลฯ และชั้นใต้ดินยังมีการจัดแสดงซากโบสถ์เก่าในสมัยศตวรรษที่ 11 ด้วย

           ความที่เป็นมหาวิหารหลักของเมือง ทำให้เป็นสถานประกอบพิธีหลักของบรรดาราชวงศ์ และบุคคลสำคัญของประเทศ ในหลากวาระ มีพื้นที่จัดเก็บศพของผู้มีคุณูปการต่อประเทศหลายคน โดยปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ นับเป็นจุดแวะอีกแห่ง ในการมาตามเก็บสถานที่สำคัญที่อยู่ภายในเมืองบรัสเซลส์ด้วย ยิ่งวันไหนมีการแสดงดนตรี หรือมาในช่วงที่แดดส่องกระจกสีผ่านเข้ามายังพื้นที่ภายในโบสถ์ด้วยละก็ รับรองว่าผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับมนต์ขลังอันน่าอัศจรรย์ใจ ที่สะท้อนออกมาผ่านความคลาสสิกอันชวนหลงใหล แบบยากจะลืมเลือน จากมหาวิหารคู่บุญแห่งเมืองบรัสเซลส์

หากใครที่มองโปรแกรมการท่องเที่ยวเบลเยียมไว้แต่ยังไม่รู้จะเดินทางยังไง สอบถามเรา มีทัวร์มั้ยได้น้า รับรองว่าจะพาไปชมเบลเยียมให้จุใจ

 

 ติดตามพวกเรามีทัวร์มั้ยแบบใกล้ชิดกว่าใครได้ที่

https://www.facebook.com/metourmice