พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม (Goreme Open Air Museum) เป็นสถานที่ทางจิตวิญญาณอันเกิดจากการสลักหิน ที่ที่นักท่องเที่ยวจะได้เข้าใจถึงอิทธิพลของศาสนาในสมัยโบราณ และเรียนรู้เรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษชาวคัปปาโดเชียน (Cappadocian) ได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นบริเวณที่สามารถนั่งดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์โดยรอบอันงดงาม
ประวัติ
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคแคปพาโดเชีย โดยอยู่ห่างจากเมือง Goreme เพียง 1.6 กิโลเมตร พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้เกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูกเพื่อทำเป็นโบสถ์สำหรับเป็นศูนย์รวมของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในอดีต ปัจจุบันมีบทบาทเป็นพิพิธภัณฑ์แบบเปิดที่แสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษชาวคัปปาโดเชียน (Cappadocian) ได้ดีที่สุด พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในเขตอุทยานแห่งชาติเกอเรเมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1985 ในอดีตเป็นถิ่นฐานที่ตั้งของผู้คนตั้งแต่ก่อนคริสตกาล และยังเป็นสถานที่ซึ่งชาวคริสเตียนยุคแรกใช้หลบหนีภัยการล่าสังหารจากจักวรรดิโรมัน ก่อนที่คริสต์ศาสนาจะได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรดิอีกด้วย
ภายในถ้ำถูกออกแบบให้ผนังสูง โค้ง ตกแต่งด้วยรูปปั้นจิตกรรมฝาผนังแบบเฟรสโก ทาสีแดง ส่วนของกำแพงโบสถ์นั้นก็ถูกเจาะเป็นรูปทางเรขาคณิต หากมองจากด้านนอกอาจนึกว่าเป็นบ้านชนเผ่ายุคหิน แต่ด้านในมีลักษณะคล้ายกับวัดที่อยู่ในถ้ำ
โบสถ์ส่วนใหญ่ในเกอเรเมแบ่งเป็นสองขนาดคือเล็กและใหญ่ โดยโบสถ์ขนาดเล็กมักสร้างราวศตวรรษที่ 3 - 4 โดยจะมีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เกิน 9 ตารางเมตร ที่ผนังมีการเจาะโพรงเข้าไปทำเป็นแท่นพิธีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรม และมีสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซูซึ่งอาจเป็นเครื่องหมายบวกหรือสัญลักษณ์อื่นตามพระคัมภีร์ โดยในยุคนั้นชาวคริสเตียนไม่ใช้สัญลักษณ์ไม้กางเขนแบบตรงไปตรงมา เนื่องจากยังเศร้าใจต่อเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือยังอยู่ในยุคหลบซ่อนจากการล่าสังหารจากจักรวรรดิโรมัน
ส่วนโบสถ์ขนาดใหญ่นั้นส่วนมากสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 9 – 12 ซึ่งเป็นยุคทองของศริสต์ศาสนา ก่อนจะเริ่มเสื่อมลงเมื่อชาวเติร์กเข้ามารุกราน โบสถ์ขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีโครงสร้างคล้ายสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ (Byzantine) โดยเป็นโบสถ์ที่สร้างหลังจักรวรรดิประกาศรับรองศาสนาแล้ว ลักษณะของโบสถ์จึงมีความโอ่อ่าอลังการและประดับด้วยภาพเฟรสโก (Fresco) ซึ่งเป็นเทกนิกการเขียนสีลงบนปูนเปียก โดยภาพส่วนใหญ่เล่าเรื่องราวของพระเยซูและอัครสาวก บางส่วนเล่าเกี่ยวกับการดำรงชีพของผู้คนในสมัยนั้น
ทั้งนี้ รูปวาดของพระเยซูส่วนของใบหน้านั้นถูกขูดขีดและทำลายโดยเด็กเลี้ยงแกะ เพราะถูกสอนว่ารูปภาพเป็นบาป ซึ่งต่อมาเมื่อถึงยุคของจักรพรรดิคอนสแตนตินก็ได้ยกเลิกการปลูกฝังความคิดเหล่านี้และกระทำอันเป็นที่สะเทือนใจต่อศริสตศาสนิกชน รวมถึงพระองค์ยังทรงผันตัวเองมานับถือศาสนาคริสต์เองด้วย ทั้งนี้ใน Karanlik Kilise หรือ Dark Church จะมีภาพที่ถูกรักษาไว้ได้เป็นอย่างดีที่สุด ที่ไม่ถูกทำลายในช่วงนั้น เป็นภาพสัญลักษณ์สำคัญบางอย่างในสมัยโบราณที่มีอายุนับพันๆ ปี
หากใครที่มองโปรแกรมการท่องเที่ยวตุรกีไว้แต่ยังไม่รู้จะเดินทางยังไง สอบถามเรา มีทัวร์มั้ยได้น้า รับรองว่าจะพาไปชมตุรกีให้จุใจ
ติดตามพวกเรามีทัวร์มั้ยแบบใกล้ชิดกว่าใครได้ที่